Logo-สำนักงานบัญชี-ARAC
สต็อก (Stock) เรื่องจุกจิกที่นักบัญชีต้องรู้! (ตอนที่ 2: ของที่เหลืออยู่ราคาเท่าไหร่?)
อัปเดตล่าสุด : 05/11/2025
ซื้อของราคาไม่เท่ากัน จะตีราคาสต็อกยังไง? สรุป 3 วิธีตีราคาสินค้าคงเหลือ (FIFO, ถัวเฉลี่ย, เจาะจง) ที่นักบัญชีต้องรู้ เพื่อคำนวณต้นทุนขายให้เป๊ะ!

ในตอนที่แล้ว เรารู้แล้วว่าจะ "นับ" และ "บันทึก" สต็อกของเราด้วย 2 วิธีหลักคือ Perpetual และ Periodicได้อย่างไร

ทีนี้ มาถึงปัญหาโลกแตกข้อต่อไป...

สมมติเราขายน้ำมันมะกอก เราซื้อมา 3 ล็อต

  • ล็อตแรก: ซื้อมา 100 ขวด (ราคาขวดละ 80 บาท)
  • ล็อตสอง: ซื้อมา 100 ขวด (ราคาขวดละ 90 บาท)
  • ล็อตสาม: ซื้อมา 100 ขวด (ราคาขวดละ 100 บาท)

ตอนนี้เรามีของในสต็อก 300 ขวด แต่ราคาไม่เท่ากันเลย!

พอสิ้นเดือน เราขายไป 150 ขวด คำถามคือ "ของที่เหลืออีก 150 ขวดในสต็อก เราจะตีราคามันที่ขวดละกี่บาท?" และ "ไอ้ 150 ขวดที่ขายไป ต้นทุนมันขวดละกี่บาท?"

นี่คือที่มาของ "วิธีการตีราคาสินค้าคงคลัง" ซึ่งในทางบัญชีมี 3 วิธีฮิต ๆ ที่เราต้องเลือกใช้ครับ

 


 

 วิธีที่ 1: ตีราคาแบบเจาะจง (Specific Identification)

วิธีนี้ตรงไปตรงมาที่สุด เหมือนติดป้ายราคาให้ของแต่ละชิ้นเลย

คือการคำนวณต้นทุนสินค้าตามวิธีราคาเจาะจง เป็นวิธีที่ใช้สำหรับสินค้าหรือบริการที่ซื้อหรือผลิตขึ้นเอง ซึ่งแต่ละรายการโดยปกติไม่อาจสับเปลี่ยนกันได้และแยกไว้สำหรับโครงการใดโครงการหนึ่งโดยเฉพาะ วิธีการตีราคาเจาะจงนี้จึงไม่เหมาะสมสำหรับสินค้าคงเหลือมีรายการจำนวนมากและโดยปกติมีลักษณะสับเปลี่ยนกันได้

หลักการ : ขายชิ้นไหน ก็ตัดต้นทุนของชิ้นนั้นเป๊ะ ๆ (เช่น เราหยิบขวดล็อต 90 บาท ไปขาย ต้นทุนก็คือ 90 บาท) เหมือนการขายรถยนต์ รถแต่ละคันมีเลขตัวถังและราคาซื้อมาที่ชัดเจน หรือการขายเพชร ที่แต่ละเม็ดมีราคาเจาะจงของมัน

ข้อดี : แม่นยำที่สุด เพราะรู้ต้นทุนจริงของทุกชิ้นที่ขายไปและที่เหลืออยู่

ข้อเสีย : ทำได้ยากมากในทางปฏิบัติ ถ้าคุณมีสินค้าเหมือน ๆ กันเป็นพัน ๆ ชิ้น (ลองนึกถึงการติดป้ายข้าวสารทีละเม็ด!)

เหมาะกับใคร: ธุรกิจที่ขายของแพง, ของชิ้นใหญ่, ของที่ผลิตตามสั่ง (Project-based) หรือของที่มีลักษณะเฉพาะตัวมาก ๆ

 


 

วิธีที่ 2: เข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO: First-In, First-Out)

วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในโลก และมีเหตุผลที่ดี

การคำนวณต้นทุนสินค้าตามวิธีเข้าก่อน ออกก่อน ถือเป็นเกณฑ์สมมติว่า สินค้าคงเหลือรายการที่ซื้อมาหรือผลิตขึ้นก่อนจะขายออกไปก่อน จึงเป็นผลให้รายการสินค้าคงเหลือที่เหลืออยู่ ณ วันสิ้นงวดเป็นสินค้าที่ซื้อมาหรือผลิตขึ้นในครั้งหลังสุดตามลำดับ

หลักการ : ยึดตามหลักธรรมชาติของ ของสด หรือแฟชั่น คือ "ของที่ซื้อมาก่อน (ล็อตแรก ๆ ) ต้องถูกขายออกไปก่อน" เข้าใจง่าย ๆ นึกถึงร้านสะดวกซื้อ เขาจะเอา "นมที่ใกล้หมดอายุ" (ที่ซื้อมาก่อน) มาวางไว้แถวหน้าสุด เพื่อให้คนหยิบไปก่อนเสมอ

ผลลัพธ์คือ : ของที่ขายไป จะถูกคิดต้นทุนจาก "ล็อตแรก ๆ " (ที่มักจะถูกกว่า) ส่วนของที่เหลือในสต็อก จะเป็นต้นทุนจาก "ล็อตหลัง ๆ " (ที่มักจะแพงกว่า)

ข้อดี : วิธีนี้มักจะทำให้ "สินค้าคงเหลือ" ในงบดุลมีราคาสูง (เพราะเป็นของล็อตใหม่ ๆ ) ซึ่งใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบันที่สุด

เหมาะกับใคร : ธุรกิจส่วนใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจที่ขายของมีวันหมดอายุ, ของแฟชั่น หรือสินค้าที่ราคาแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

 


 

วิธีที่ 3: ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Cost)

วิธีนี้คือสายกลาง ไม่สุดโต่ง เน้นความ "แฟร์ ๆ"

การคำนวณต้นทุนสินค้าตามวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก มีข้อสมมติว่า ต้นทุนสินค้าคงเหลือแต่ละรายการจะกำหนดจากการถัวเฉลี่ยต้นทุนของสินค้าที่คล้ายคลึงกัน ณ วันต้นงวดกับต้นทุนของสินค้าที่คล้ายคลึงกันที่ซื้อมาหรือผลิตขึ้นในระหว่างงวด ซึ่งวิธีนี้ อาจคำนวณเป็นงวด ๆ หรือคำนวณทุกครั้งที่ได้รับสินค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของกิจการ

หลักการ : ไม่สนว่าของล็อตไหนจะเข้าก่อนหรือหลัง เราจะเอาต้นทุนของทั้งหมด (ทั้งของเก่าที่มี + ของใหม่ที่เพิ่งซื้อ) มารวมกัน แล้วหารเฉลี่ยเป็นราคาใหม่ราคาเดียว เหมือนการเติมน้ำมันใส่ถัง ถังเก่ามีน้ำมันราคาลิตรละ 30 บาท เติมของใหม่ลิตรละ 35 บาทเข้าไป น้ำมันในถังก็จะผสมกัน ได้ราคาต้นทุนใหม่ที่อยู่กึ่งกลาง

ผลลัพธ์คือ : ทุกครั้งที่มีการซื้อของเข้าสต็อก ราคาต้นทุนเฉลี่ยนี้จะเปลี่ยนไป และเราจะใช้ราคานี้กับทุกอย่าง ทั้งของที่ขายไป และของที่เหลืออยู่ (จนกว่าจะมีการซื้อล็อตใหม่มาถัวอีกครั้ง)

ข้อดี : เป็นวิธีที่ราบรื่น (Smooth) ช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าที่ขึ้นๆ ลงๆ ได้ดี

เหมาะกับใคร: ธุรกิจที่สินค้าในสต็อกมันปนเปกันไปหมด แยกไม่ออกว่าชิ้นไหนมาก่อนมาหลัง (เช่น สถานีบริการน้ำมัน หรือไซโลเก็บธัญพืช)

 


 

บทสรุปตอนที่ 2

การเลือกวิธีตีราคาสินค้าคงคลัง (เจาะจง, FIFO, หรือถัวเฉลี่ย) ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็น "การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์" เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อ "ต้นทุนขาย" และ "กำไรสุทธิ" ของบริษัทในทันที

 

บริการ
ข่าว
Copyright © 2025 A.R. Accounting & Consultant Co., Ltd. All Right reserved.