สำหรับธุรกิจที่ต้อง "ซื้อมา-ขายไป" หรือ "ผลิตเพื่อขาย" สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญและมักจะสร้างความปวดหัวได้ไม่น้อย ก็คือ "สินค้าคงเหลือ" หรือที่เราเรียกติดปากว่า "สต็อก" นั่นเอง
การจัดการสต็อกไม่ได้มีผลแค่ว่าเรามีของพอขายหรือไม่ แต่มันกระทบโดยตรงกับตัวเลขกำไรขาดทุนของบริษัทเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาปูพื้นฐานกันในตอนแรกว่า ในทางบัญชี เขาจัดการกับเจ้าสต็อกนี้ยังไง
สินค้าคงเหลือ (Inventory) คืออะไรกันแน่?
หลายคนนึกว่าสินค้าคงเหลือคือ "ของที่รอขาย" เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วในทางบัญชี มันรวมถึงทุกอย่างในกระบวนการเลยครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ของ 3 สถานะนี้:
ของที่พร้อมขาย: สินค้าสำเร็จรูปที่วางอยู่บนชั้นรอให้ลูกค้ามาซื้อ
ของที่กำลังผลิต: สินค้าที่ยังทำไม่เสร็จดี อยู่ในสายพานการผลิต (เช่น แป้งที่รออบ)
ของที่รอผลิต: วัตถุดิบหรือวัสดุที่ซื้อมาเตรียมไว้ (เช่น แป้ง, น้ำตาล ที่ยังอยู่ในถุง)
ทั้งหมดนี้ถือเป็น "สินทรัพย์" ของกิจการ
2 วิถีการบันทึกสต็อก: จดทุกเม็ด vs. นับทีเดียว
คำถามสำคัญคือ "เราจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้มีของเหลือเท่าไหร่?" ในทางบัญชีมี 2 วิธีหลักๆ ที่นิยมใช้กัน ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันชัดเจน
1. วิธี Perpetual (จดบันทึกตลอดเวลา)
วิธีนี้เปรียบเหมือนเราทำบัญชีเงินฝากครับ แต่เปลี่ยนจากเงินเป็นสินค้า
ใช้บัญชี "สินค้าคงเหลือ" เป็นตัวหลัก เมื่อมีการ ซื้อ ของเข้า สต็อกก็ "บวก" เมื่อ ขาย ของออก สต็อกก็ "ลบ" ทันที
จุดเด่น (ข้อดี): รู้ยอดคงเหลือที่แท้จริง (ในกระดาษ) ได้ตลอดเวลา 24/7 ไม่ต้องรอปิดงบ
จุดอ่อน (ข้อเสีย): งานเยอะ! เพราะต้องบันทึกบัญชีทุกครั้งที่ของขยับ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อ, ขาย, ส่งคืน, รับคืน
เหมาะกับใคร: กิจการที่ขายของแพงๆ (เช่น ร้านขายรถยนต์, ร้านเพชร) หรือของที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก แต่อยากรู้ยอดเป๊ะ ๆ
2. วิธี Periodic (รวบยอดนับทีเดียว)
วิธีนี้จะชิลล์กว่าระหว่างทาง แต่ต้องไปหนักตอนปลายทาง
ระหว่างปีจะไม่ยุ่งกับบัญชี "สินค้าคงเหลือ" เลย เวลาซื้อของ ก็จะไปลงบัญชี "ซื้อ" ก่อน จากนั้นพอถึงวันที่อยากรู้ยอด (เช่น สิ้นเดือน หรือสิ้นปี) ก็ต้อง... "หยุด! แล้วไปตรวจนับของจริง"
จุดเด่น (ข้อดี): บันทึกบัญชีง่ายและเร็วกว่ามาก เพราะจดแค่ตอนซื้อ
จุดอ่อน (ข้อเสีย): ไม่สามารถรู้ยอดคงเหลือได้ทันที ถ้าเจ้านายถามวันนี้ว่า "สต็อกเหลือเท่าไหร่?" คำตอบคือ "ไม่ทราบครับ ต้องขอไปนับก่อน"
เหมาะกับใคร: กิจการที่มีสินค้าปริมาณมาก ๆ หยิบย่อย (เช่น ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ) ที่การจดทุกความเคลื่อนไหวเป็นไปได้ยาก
ตารางเทียบหมัดต่อหมัด: เมื่อเกิดรายการค้า
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่างการลงบัญชีของทั้งสองวิธีนี้

ข้อสังเกตสำคัญ
เห็นความต่างใน ข้อ 3 (ขายสินค้า) ไหม?
Perpetual จะรับรู้ "ต้นทุนขาย" ทันทีที่ขายของได้ ทำให้เราเห็นกำไรขั้นต้นได้แบบ Real-time
Periodic จะยังไม่รู้ต้นทุนขายในทันที ต้องรอไปตรวจนับสต็อกปลายงวดก่อน แล้วค่อยมาคำนวณหายอดต้นทุนขาย (COGS) ทีหลัง
บทสรุปตอนที่ 1
การเลือกวิธีบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือไม่ว่าจะแบบ Perpetual หรือ Periodic ก็มีผลต่อการทำงานและตัวเลขในงบการเงินทั้งสิ้น กิจการต้องเลือกให้เหมาะกับประเภทธุรกิจและปริมาณสินค้าของตัวเองครับ
เราปูพื้นฐานกันเรื่องความหมายและวิธีบันทึกบัญชีไปแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบ! เพราะไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหน สุดท้าย... คุณก็หนีไม่พ้น "การตรวจนับสินค้าคงเหลือ" อยู่ดี ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อบัญชีอย่างมาก เดี๋ยวเราไปว่ากันต่อในตอนหน้าครับ!
