วางแผนภาษี 2568 (ตอนที่ 1) มนุษย์เงินเดือนต้องอ่าน! เจาะลึกทุกการลงทุนเพื่อ 'ลดหย่อนภาษี' ที่จะช่วยให้คุณได้เงินคืนสูงสุด

สวัสดีดีเพื่อนๆ พี่น้องชาวออฟฟิศทุกคน พอเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายปี สิ่งที่คนทำงานอย่างเรา ๆ ต้องเริ่มวางแผนกันก็คือ "ภาษี" สำหรับปีภาษี 2568 ที่จะต้องยื่นในช่วงต้นปี 2569 ที่จะถึงนี้ หลายคนอาจมองว่าการเสียภาษีเป็นเรื่องน่าปวดหัว แต่ความจริงแล้วมันคือโอกาสทองที่เราจะวางแผนการเงินไปพร้อม ๆ กับการสร้างความมั่งคั่งได้เลย
วันนี้เราจะมาเจาะลึกกลยุทธ์แรกที่ดีสำหรับมนุษยเงินเดือนที่อยากลงทุน นั่นคือ การลงทุนเพื่อ "ลดหย่อนภาษี"
หลักการง่าย ๆ ของกลยุทธ์นี้คือ "ยิ่งลงทุนตามเงื่อนไข ยิ่งมีตัวหักลดหย่อนเยอะ" ซึ่งจะทำให้เงินได้สุทธิที่ใช้คำนวณภาษีของเราลดลง ส่งผลให้เราเสียภาษีน้อยลงหรืออาจได้เงินคืนภาษีเพิ่มขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรให้เราได้ลงทุนแล้วสามารถนำไปลดหย่อนได้บ้าง
ลงทุนเพื่อ "ลดหย่อนภาษี" (ยิ่งซื้อ ยิ่งลด)
คอนเซ็ปต์ของหมวดนี้ง่ายมาก คือ เรานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่กรมสรรพากรกำหนด แล้วนำจำนวนเงินที่ลงทุนนั้นไปหักออกจากรายได้ทั้งปีของเรา ทำให้เงินได้สุทธิที่ใช้คำนวณภาษีลดลง ผลลัพธ์คือเราจะเสียภาษีน้อยลง หรืออาจได้เงินคืนภาษีมากขึ้นนั่นเอง
กองทุนรวมลดหย่อนภาษี: ตัวช่วยยอดฮิต
เป็นวิธีที่สะดวกและมีทางเลือกหลากหลาย เหมาะสำหรับทุกคน
1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
เหมาะกับใคร: คนที่ต้องการออมเงินระยะยาวเพื่อใช้ตอนเกษียณ
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับ PVD, กบข.,กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันบำนาญ)
ตัวอย่าง:
นาย A มีรายได้ทั้งปี 1,000,000 บาท และมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ที่นายจ้างและตัวเองสมทบรวมกันปีละ 60,000 บาท นาย A จะเหลือโควต้าลงทุนเพื่อเกษียณอีก 440,000 บาท (500,000 - 60,000) เขาสามารถซื้อ RMF เพิ่มได้สูงสุด 300,000 บาท (30% ของรายได้) เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี ทำให้รายได้ที่ต้องคำนวณภาษีลดลงไปถึง 300,000 บาทเลยทีเดียว!
2. กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
เหมาะกับใคร: คนที่อยากลงทุนระยะยาวพร้อมสนับสนุนบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (เป็นโควต้าพิเศษแยกต่างหาก ไม่เกี่ยวกับวงเงิน 500,000 บาทข้างต้น)
ตัวอย่าง:
หลังจากซื้อ RMF ไปแล้ว นาย A ยังสามารถซื้อกองทุน Thai ESG ได้อีก เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีก 30% ของรายได้
ประกัน: ปกป้องชีวิต พร้อมประหยัดภาษี
การซื้อประกันก็เป็นอีกวิธีที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อ คือสร้างความคุ้มครองและลดหย่อนภาษี
1. ประกันชีวิตทั่วไป และ ประกันสะสมทรัพย์ (คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป)
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาท
ตัวอย่าง:
นางสาว B จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตปีละ 40,000 บาท เธอสามารถนำค่าเบี้ย 40,000 บาทนี้ไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน
2. ประกันสุขภาพ
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: ลดหย่อนให้ตัวเองได้สูงสุด 25,000 บาท และซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ได้อีก 15,000 บาท
ตัวอย่าง:
นางสาว B จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพของตัวเอง 25,000 บาท และซื้อประกันสุขภาพให้คุณแม่ที่อายุ 60 ขึ้นไป (ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี) อีก 15,000 บาท เธอจะสามารถนำค่าเบี้ยรวม 40,000 บาท (25,000 + 15,000) ไปลดหย่อนภาษีได้
ข้อมูลเพิ่มเติม:
เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้
เบี้ยประกันสุขภาพตัวเอง
เบี้ยประกันสุขภาพ รวมถึงเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3. ประกันชีวิตแบบบำนาญ
สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ: ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (เป็นส่วนหนึ่งของโควต้าเกษียณ (กลุ่มสำรองเลี้ยงชีพ) รวมแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
ตัวอย่าง:
หากนาย A จากตัวอย่างแรก ตัดสินใจซื้อประกันบำนาญเพิ่มอีก 200,000 บาท เขาจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนส่วนนี้ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ยอดรวมกับ RMF และ PVD เกิน 500,000 บาท
การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นกลยุทธ์ที่ตรงไปตรงมาและเห็นผลชัดเจนที่สุดในการประหยัดภาษี ลองสำรวจรายได้และเป้าหมายของตัวเอง แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่สำหรับคุณ
ในตอนต่อไป... เราจะมาดูกลยุทธ์ที่สอง คือการลงทุนที่แม้จะลดหย่อนภาษีไม่ได้ แต่ "ผลตอบแทน" ที่ได้มาก็ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว! รอติดตามกันนะ