
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการของลูกจ้างมาโดยตลอด เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความมั่นคงในระบบแรงงาน กลไกสำคัญประการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้คือ "กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง" ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายเพื่อเป็นหลักประกันทางเศรษฐกิจสำหรับลูกจ้างในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของพวกเขา
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง: หลักประกันเพื่อผู้ใช้แรงงานในประเทศไทย
ในโลกของการทำงานที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน การมีหลักประกันที่มั่นคงสำหรับผู้ใช้แรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญนี้และได้มีการจัดตั้ง "กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง" ขึ้น เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของลูกจ้างในหลากหลายสถานการณ์ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกองทุนนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ กลไกการทำงาน และผลกระทบที่มีต่อผู้ใช้แรงงานทุกคน
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคืออะไร?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ กองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการช่วยเหลือลูกจ้างที่อาจต้องเผชิญกับความเดือดร้อนทางการเงินอันเนื่องมาจากการสิ้นสุดการจ้างงาน การเสียชีวิต หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกำหนด กองทุนนี้เปรียบเสมือนตาข่ายรองรับทางสังคมที่ช่วยให้ลูกจ้างที่ขาดรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการลาออก ถูกเลิกจ้าง เกษียณอายุ สิ้นสุดสัญญาจ้าง หรือแม้กระทั่งต้องหยุดงานเนื่องจากการเจ็บป่วย (ทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุในและนอกเวลางาน) ได้รับความช่วยเหลือและมีหลักประกันทางเศรษฐกิจในเบื้องต้น
วัตถุประสงค์หลักของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เพื่อครอบคลุมและให้ความช่วยเหลือลูกจ้างในหลายด้าน ดังนี้
สร้างความมั่นคงทางการเงินเมื่อสิ้นสุดการจ้างงาน: ช่วยให้ลูกจ้างมีเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายเมื่อต้องออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นการลาออก เกษียณอายุ หรือถูกเลิกจ้าง รวมถึงกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต ทายาทก็จะได้รับเงินจากกองทุนนี้
ช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่ได้รับค่าชดเชย: ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย กองทุนนี้จะเป็นแหล่งเงินช่วยเหลือที่สำคัญ
สนับสนุนกรณีเสียชีวิต: ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ทายาทของลูกจ้างที่เสียชีวิต เพื่อบรรเทาภาระทางการเงิน
ให้ความช่วยเหลือในกรณีอื่น ๆ : รวมถึงกรณีที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างพิจารณาเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม
ส่งเสริมการออมระยะยาว: กลไกการสะสมเงินเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งลูกจ้างและนายจ้าง มีส่วนช่วยส่งเสริมวินัยการออมและสร้างเงินเก็บระยะยาว
เสริมสร้างระบบคุ้มครองทางสังคม: เป็นส่วนหนึ่งของระบบสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยรวมของประเทศ
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้นเกี่ยวข้องกับทั้งลูกจ้างและนายจ้าง โดยมีรายละเอียดดังนี้
ลูกจ้าง
ผู้ที่ได้รับประโยชน์: ลูกจ้างทุกคนที่ทำงานในสถานประกอบการที่ต้องเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จะได้รับประโยชน์จากกองทุนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเงินคืนเมื่อออกจากงาน หรือการได้รับความช่วยเหลือในกรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ผู้ที่มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบ: ลูกจ้างจะต้องจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนในอัตราร้อยละที่กำหนดจากค่าจ้างของตนเอง
นายจ้าง
ผู้ที่มีหน้าที่นำส่งเงินสมทบ: นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป มีหน้าที่ต้องนำลูกจ้างเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยจะต้องหักเงินสะสมจากค่าจ้างของลูกจ้างและนำส่งพร้อมกับเงินสมทบในส่วนของตนเองเข้ากองทุน
หมายเหตุ: หากนายจ้างได้จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้างอยู่แล้ว จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
กลไกการทำงานของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีกลไกการทำงานที่สำคัญคือการให้ทั้งลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันสนับสนุนทางการเงิน
การส่งเงินสมทบ: นายจ้างจะทำการหักเงินสะสมจากค่าจ้างของลูกจ้างในอัตราที่กำหนด และนำส่งเงินส่วนนี้พร้อมกับเงินสมทบจากส่วนของนายจ้างเองเข้ากองทุน
อัตราการส่งเงินสมทบ: อัตราการส่งเงินสมทบจะมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา ดังนี้
- ช่วง 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2573): ลูกจ้าง 0.25% ของค่าจ้าง และนายจ้าง 0.25% ของค่าจ้าง
- 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป: ลูกจ้าง 0.50% ของค่าจ้าง และนายจ้าง 0.50% ของค่าจ้าง
กำหนดเวลาการนำส่ง: นายจ้างต้องนำส่งเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากไม่นำส่งตามกำหนด อาจมีบทลงโทษ
สิทธิและเงื่อนไขการขอรับเงินสงเคราะห์
ลูกจ้างมีสิทธิขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนในหลายกรณี
- ถูกเลิกจ้าง
- ลาออก
- เกษียณอายุ
- สิ้นสุดสัญญาจ้าง
- ถูกยกเลิกสัญญาจ้าง
- นายจ้างประสบปัญหาทางการเงิน
- เสียชีวิต (ทายาทจะได้รับ)
- นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
- นายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างหรือเงินอื่น ๆ ตามกฎหมาย
เงื่อนไขและขั้นตอนการขอรับเงินสงเคราะห์ จะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี โดยทั่วไปแล้ว ลูกจ้างจะต้องยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน